ฉีดโบลดกราม

ฉีดโบลดกราม ปรับรูปหน้าเรียวละมุน เป็นธรรมชาติ

สำหรับผู้ที่มีใบหน้าดูเหลี่ยมหรือกรามใหญ่ จนทำให้หน้าดูแข็ง ไม่เรียวละมุนอย่างที่ต้องการ การ ฉีดโบลดกราม ถือเป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสามารถปรับรูปหน้าให้ดูเรียวเล็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น  และยังเห็นผลชัดเจนภายในไม่กี่สัปดาห์

ฉีดโบลดกราม คืออะไร ทำงานอย่างไร?

การฉีดโบลดกราม (Masseter Botox) คือการฉีดสาร Botulinum Toxin A เข้าสู่กล้ามเนื้อบริเวณกราม (กล้ามเนื้อ Masseter) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อหลักที่ใช้ในการเคี้ยวอาหาร หากกล้ามเนื้อมัดนี้มีขนาดใหญ่หรือถูกใช้งานบ่อยเกินไป ก็อาจทำให้ใบหน้าดูเหลี่ยม กรามใหญ่ขึ้นโดยไม่จำเป็น
เมื่อฉีดโบท็อกเข้าไป กล้ามเนื้อกรามจะคลายตัวลง ทำให้ขนาดของกล้ามเนื้อเล็กลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้ใบหน้าดูเรียวมากขึ้นโดยไม่กระทบต่อการเคี้ยวหรือการแสดงสีหน้าในชีวิตประจำวัน

กรามใหญ่เกิดจากอะไร

กรามใหญ่ เกิดจากสาเหตุอะไร?

กรามใหญ่สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยแบ่งหลัก ๆ ได้เป็น 3 ปัจจัย คือ
พันธุกรรม: บางคนมีลักษณะกระดูกกรามใหญ่แต่กำเนิด

  • กล้ามเนื้อกรามหนา: จากการใช้งานกล้ามเนื้อบริเวณกรามอย่างหนัก เช่น การเคี้ยวของแข็ง หรือมีพฤติกรรมนอนกัดฟัน
  • ไขมันสะสมบริเวณกราม: พบได้ในบางคนที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น

↑ กลับสู่สารบัญ

ข้อดีของการฉีดโบลดกราม

  • ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ลดขนาดกล้ามเนื้อกรามที่หนาเกินไป อย่างเห็นผลในช่วง 4–6 สัปดาห์
  • ลดอาการนอนกัดฟัน หรืออาการปวดกรามจากการเกร็งกล้ามเนื้อ
  • ช่วยให้กรอบหน้าชัดขึ้น เพิ่มความมั่นใจในการถ่ายภาพหรือแต่งหน้า
  • ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

ฉีดโบลดกราม เห็นผลกี่วัน?

หลังการ ฉีดโบกราม จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ในช่วงประมาณ 2–4 สัปดาห์ และจะเห็นผลชัดเจนที่สุดในช่วงสัปดาห์ที่ 6–8 ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายแต่ละคน และปริมาณตัวยาที่ใช้

ฉีดโบลดกราม อยู่ได้นานแค่ไหน?

ผลลัพธ์จากการฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 4–6 เดือน โดยเฉลี่ย หากต้องการผลลัพธ์ต่อเนื่องควรกลับมาฉีดซ้ำตามรอบที่แพทย์แนะนำ ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อฝ่อลงเรื่อย ๆ และไม่กลับมาใหญ่เหมือนเดิมเร็ว

↑ กลับสู่สารบัญ

ใครบ้างที่เหมาะสำหรับโปรแกรม ฉีดโบลดกราม

  • ผู้ที่มีกล้ามเนื้อกรามเด่น ทำให้หน้าดูกว้างหรือเหลี่ยม
  • ผู้ที่มีพฤติกรรมกัดฟันหรือนอนกัดฟัน
  • ผู้ที่อยากปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นโดยไม่ผ่าตัด
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบเป็นธรรมชาติ ไม่เปลี่ยนโครงหน้าอย่างถาวร

มีผลข้างเคียงหรือไม่?

โดยทั่วไป การฉีดโบกราม ถือว่ามีความปลอดภัยสูง หากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ผลข้างเคียงอาจเกิดได้เล็กน้อย เช่น

  • บวม แดง หรือช้ำบริเวณที่ฉีด
  • อาการเมื่อยกรามเล็กน้อยในช่วงแรก
  • หากฉีดผิดตำแหน่ง อาจทำให้แก้มตอบ หน้าดูโทรม หรือมีปัญหาในการเคี้ยวอาหาร

การดูแลตัวเองหลังฉีดโบกราม

  • หลีกเลี่ยงการนอนราบ 4 ชั่วโมงแรกหลังฉีด
  • งดการนวดหน้าแรง ๆ หรือทำเลเซอร์ร้อนบริเวณกราม 1–2 สัปดาห์
  • งดเคี้ยวของแข็งหรือเคี้ยวหมากฝรั่งในช่วงแรก
  • ดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อการฟื้นตัวที่ดี

↑ กลับสู่สารบัญ

ฉีดโบลดกราม ราคาเท่าไหร่?

ราคาการ ฉีดโบลดกราม ขึ้นอยู่กับแบรนด์โบท็อก ที่ใช้ ปริมาณยูนิต เริ่มต้นประมาณ 8,000–25,000 บาท

คำถามที่พบบ่อย

ช่วยลดอาการนอนกัดฟันได้ไหม?

ใช่ การฉีดโบลดกรามช่วยลดแรงบดเคี้ยว ลดอาการนอนกัดฟันได้จริงในหลายกรณี

สามารถทำร่วมกับโบท็อกส่วนอื่นได้ไหม?

ได้ เช่น โบท็อกลดริ้วรอยหน้าผาก หางตา หรือริ้วรอยระหว่างคิ้ว สามารถทำพร้อมกันได้ในคราวเดียว

ต้องฉีดบ่อยแค่ไหน?

โดยทั่วไปฉีดทุก 4–6 เดือน แต่อาจห่างออกไปได้เมื่อกล้ามเนื้อฝ่อลงเรื่อย ๆ

แตกต่างจากการผ่าตัดกรามอย่างไร?

การผ่าตัดกรามเป็นการตัดกระดูกเพื่อเปลี่ยนโครงหน้าแบบถาวร ส่วนการ ฉีดโบกราม เป็นการลดขนาดกล้ามเนื้อ ไม่เปลี่ยนกระดูก เห็นผลชั่วคราวแต่ปลอดภัยและไม่ต้องพักฟื้น

อายุเท่าไรควรเริ่มโบท็อก?

สามารถเริ่มได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 20 ปีขึ้นไป หากมีปัญหากรามใหญ่หรืออยากป้องกันพฤติกรรมนอนกัดฟัน

มีข้อห้ามหรือไม่?

ผู้ที่ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือมีโรคทางระบบประสาทบางชนิดควรหลีกเลี่ยง

หากไม่พอใจผลลัพธ์แก้ไขได้ไหม?

ผลลัพธ์จะอยู่เพียงชั่วคราว หากไม่พอใจสามารถรอให้ฤทธิ์หมดลงตามธรรมชาติ

ควรเลือกแพทย์ และคลินิกอย่างไร?

ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ และความชำนาญ ที่ Doctor Tony Clinic เราดูแล โดยแพทย์ Allergan Medical Institute (AMI) ของบริษัท Allergan มายาวนานกว่า 15 ปี ใช้ผลิตภัณฑ์แท้ สามารถตรวจสอบได้

สรุป

ฉีดโบลดกราม คือทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่อยากลดกราม ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวเล็กโดยไม่ต้องผ่าตัด จุดเด่นคือไม่เจ็บมาก ไม่ต้องพักฟื้น และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายในไม่กี่สัปดาห์ ทั้งยังช่วยลดพฤติกรรมนอนกัดฟันและอาการปวดเมื่อยกรามได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ เพื่อประเมินสาเหตุกรามใหญ่และกำหนดปริมาณตัวยาให้เหมาะสม